วัตถุประสงค์ของโครงการ |
Leadership Voyage Program คือ โครงการฝึกอบรมที่จัดขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมสู่วิถีผู้นำให้กับผู้เข้าร่วมโครงการ โดยเน้น การขัดเกลาความคิดสู่การเป็นผู้นำที่เปี่ยมไปด้วยสมรรถนะ, การชี้แนะแนวทางการกำหนดเป้าหมาย การทำงานที่มุ่งผลสัมฤทธิ์, การชี้แนะเทคนิคการนำสมรรถนะที่โดดเด่นมาสร้างเป็นแบรนด์ผู้นำของตนเอง และการเสริมสร้างวิสัยทัศน์ให้กับผู้เข้าร่วม โครงการเพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นผู้นำที่มีความเป็นเลิศ ด้วยการสร้างความตระหนักถึงสมรรถนะ และเอกลักษณ์ ที่โดดเด่นของตนเองเพื่อนำสมรรถนะและ เอกลักษณ์ที่โดดเด่นนี้มากำหนดพิมพ์เขียว (Blueprint) และสร้างแผนการเดินทาง (Action plan) สู่วิถีผู้นำของตนเอง เพื่อให้ไห้มาซึ่งผล
|
|
|
|
สัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงาน และการดำรงชีวิต ทั้งนี้โครงการพัฒนาสมรรถนะสู่วิถีผู้นำ Leadership Voyage Program แบ่งการฝึกอบรมออกเป็น 2 phases ดังนี้ |
|
|
Phase I : การสร้างความตระหนักในสมรรถนะและความสามารถในการบริหารสมรรถนะของตนเอง (2 วัน) |
|
เริ่มจากการทดสอบสมรรถนะ และการทดสอบความสามารถ ในการ บริหารสมรรถนะ ของผู้เข้าร่วมโครงการแต่ละคน ด้วยแบบสอบถาม ความถนัดเชิงอัจฉริยภาพ ให้ผู้เข้าร่วมโครงการแต่ละคนได้ตระหนัก ถึงสมรรถนะ และพลังแฝงที่หลบซ่อนอยู่ภายในตนเอง เพื่อสร้าง ความเชื่อมั่นและศรัทธาในตนเอง และกระตุ้นตลอดจนสร้างความสนใจ ใฝ่รู้ที่จะพัฒนา สมรรถนะของตนเองอย่างต่อเนื่อง ด้วยการค้นคว้าหา ความรู้ที่จะพัฒนา ปรับปรุง และประยุกต์ใช้ความรู้เชิงวิชาการและ เทคโนโลยีต่างๆ เข้ากับการปฎิบัติงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์
|
|
|
หัวข้อการสัมมนา (Topics covered) |
• กรอบความคิดในการพัฒนาวุฒิภาวะการทำงานภายใต้ความผกผันของภาวะแวดล้อม
• การสร้าง Self-Awareness เพื่อค้นหาและทำความรู้จักกับสมรรถนะของตนเอง
ด้วยการวิเคราะห์ความถนัดเชิงอัจฉริยภาพ
• ค้นพบเส้นทางสู่ความสำเร็จที่เหนื่อยน้อยที่สุดของตนเอง เพื่อนำธรรมชาติของความถนัดที่พบเจอออกใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
• การค้นหาช่องว่างระหว่างอุปนิสัยพื้นฐาน, ความถนัดและทักษะ กับงานภายใต้ความรับผิดชอบ
• การกำหนดทักษะและเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของตนเอง (most preference skills)
• การวิเคราะห์ทักษะที่สร้างความเครียด (least preference skills)
• การให้คุณค่ากับความต่างและการประสานความเก่งของตนเองเข้ากับทีมงาน
• เทคนิคการปรับแต่งและการปลดปล่อยศักยภาพเพื่อสร้างผลสัมฤทธิ์ในการทำงาน
|
|
|
Phase II : การกำหนดวิสัยทัศน์การเป็นผู้นำและการสร้างพิมพ์เขียวในการเดินทางสู่วิถีผู้นำของตนเอง (2 วัน) |
คือการนำสมรรถนะและเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของตนเองที่ได้จาก Phase I มากำหนดเป้าหมายในการเดินทางสู่การเป็นผู้นำ (Vision of success), กำหนดแบรนด์ของตนเอง (Leadership Branding) และกำหนดแผนการเดินทางสู่วิถีผู้นำของตนเอง (Action plan) ในการปฏิบัติ พร้อมทั้งสร้างสรรค์พัฒนาผลงานหรือกระบวนการปฏิบัติงานเพื่อ สั่งสมพัฒนาศักยภาพ อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นหลักการสร้างความเป็นเลิศในการประประยุกต์ใช้ความรู้ที่มีให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ด้วยการพัฒนาทีมงาน ผลงาน กระบวนการทำงาน และ องค์กรให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนา
|
|
|
|
|
หัวข้อการสัมมนา (Topics covered) |
• การกำหนดค่านิยมในการทำงานและการดำรงชีวิต
• การวิเคราะห์มลพิษทางอารมณ์ ภาวะเครียดและแรงต้านในการทำงาน
• การกำหนดเป้าหมายในการเดินทางสู่การเป็นผู้นำ (Vision of success)
• การกำหนดแบรนด์ของเอกลักษณ์การเป็นผู้นำของตนเองด้วยPainting Technique(Leadership Branding )
• การกำหนดแผนการเดินทางสู่วิถีผู้นำของตนเอง (Action plan)
ในการปฏิบัติให้ดีหรือให้เกินมาตรฐาน
•การกำหนดคำมั่นสัญญาในการนำสมรรถนะของตนเองออกใช้ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ |
|
ระยะเวลาโครงการ |
การอบรมทั้งใน Phase I และ Phase II ใช้เวลาทั้งสิ้นรวม 4 วัน โดยแบ่งเป็นการอบรม
Phase I ใช้เวลา 2 วัน,
และการอบรม Phase II ใช้เวลา 2 วัน
|
|
จำนวนผู้เข้าร่วมโครงการแต่ละรุ่น 20 คน
|
ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการอบรมและ เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมโครงการทุกคนได้มีส่วนร่วม ในการแสดงความคิดเห็น
การนำเสนอ และการร่วมกิจกรรมระหว่างการสัมมนาอย่างเต็มที่
|
|
|
วิธีการในการดำเนินการสัมมนา/ฝึกอบรม |
วิธีในการดำเนินการสัมมนา/ฝึกอบรมเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และการประยุกต์ใช้สูงสุดสำหรับผู้เข้าร่วมสัมมนา จะใช้วิธีการดังนี้ |
|
|
|
|
Problem based learning
คือการนำเอาประเด็นของปัญหาในใจของผู้เข้าร่วมสัมมนา มาใช้ในการเป็น แกนหลัก ในการเรียนรู้เพื่อ สร้างความสนใจและ
เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาสามารถนำหลักการไปใช้ ประโยชน์กับชีวิตประจำวันได้ อย่างสัมฤทธิ์ผลสูงสุด
|
Experienced and application based facilitation
คือการนำเอากิจกรรมที่ได้มีการปรับแต่ง (customized) ให้เข้ากับสไตล์การเรียนรู้ของผู้เข้าร่วมสัมมนา
(โดยวิทยากรจะใช้ผลที่ได้จากการวิเคราะห์ความถนัดเชิงอัจฉริยภาพ ของผู้เข้าร่วมสัมมนามาพิจารณาเพื่อ จัดเตรียมและ
ปรับแต่งกิจกรรมต่างๆ ระหว่างการสัมมนา) เพื่อให้เกิดประสบการณ์ในการเรียนรู้สูงสุด อีกทั้งยังก่อให้เกิดข้อคิดใน
การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
|
Intellectual team discussion
คือการแลกเปลี่ยนตัวอย่างและประสบการณ์จริงระหว่างผู้เข้าร่วม ซึ่งวิธีการนี้จะสร้างความสัมพันธ์และ มุมมองให้เกิด
การปรับความคิดที่มีประสิทธิภาพ |
Three person teaching
การสร้างบทบาทให้ผู้เข้าร่วมสัมมนา เป็นผู้สอนและแสดงความคิดให้แก่กันและกัน วิธีการนี้จะทำให้ เกิดมุมมองใหม่ใน
การเรียนรู้ และเป็นการกระตุ้นความสนใจในการเรียนรู้เพิ่มขึ้น |
|
Prerequisite |
การวิเคราะห์ความถนัดเชิงอัจฉริยภาพของผู้เข้าร่วมโครงการทุกคนเพื่อนำผลการวิเคราะห์มาใช้ในการเตรียมการสัมมนาและ นำมาใช้ระหว่างการสัมมนา (ผู้เข้าร่วมโครงการทุกคนจะต้องกรอกแบบสอบถามความถนัดเชิงอัจฉริยภาพและ ส่งกลับเพื่อ ทำการวิเคราะห์อย่างน้อย 5 วันก่อนการสัมมนาใน Phase I) |
|
แบบสอบถามความถนัดเชิงอัจริยภาพ |
แบบสอบถามความถนัดเชิงอัจฉริยภาพมิใช่แบบทดสอบ ไม่มีผิด ไม่มีถูก (ไม่มีตก หรือ ไม่มีการได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์) ผลวิเคราะห์จากแบบสอบถามคือภาพสะท้อนที่ผู้กรอกแบบสอบถามมองความถนัดเชิงอัจฉริยภาพของตนเองและ ความสามารถ ในการบริหาร ความถนัด เชิงอัจฉริยภาพทั้งในเรื่องงานและในชีวิตส่วนตัว ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์สามารถนำไปใช้ใน การวางแผนพัฒนาและ ปรับแต่ง ความสามารถในการบริหารอัจฉริยภาพของตนเองในอนาคต |